“E14, E27 และ E40” คือขั้วหลอดที่เป็นชนิดเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่ขนาดและการใช้งานเท่านั้น
“GU10” คือขั้วสำหรับหลอดฮาโลเจน โดยหลอดชนิดนี้ไฟที่ออกมาจะมีความสวยงาม แต่ค่อนข้างมีราคาสูง
“MR16” ย่อมากจาก “Multifaceted Reflector” คือหลอดที่มี Reflector อยู่ในตัว ส่วนตัวเลขข้างหลังคือขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของตัวหลอดโดยจะต้อง เอา 8 ไปหารเพื่อที่จะได้เป็นหน่วยนิ้ว เช่น
MR16 คือเส้นผ่านศูนย์กลาง 16 หารด้วย 8 จะเท่ากับ 2 นิ้ว
MR11 คือเส้นผ่านศูนย์กลาง 16 หารด้วย 8 จะเท่ากับ 1.375 นิ้ว
ตัวเลขในตำแหน่งแรก หมายถึงการป้องกันของแข็ง โดยแบ่งเป็น 7 ระดับเริ่มตั้งแต่ 0 – 6
0 : ไม่สามารถป้องกันของแข็งอะไรได้เลย
1 : ป้องกันของแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 50 มิลลิเมตรเข้ามาภายในอุปกรณ์
2.: ป้องกันของแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 12.5 มิลลิเมตรเข้ามาภายในอุปกรณ์
3 : ป้องกันของแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 2.5 มิลลิเมตรเข้ามาภายในอุปกรณ์
4 : ป้องกันของแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 1 มิลลิเมตรเข้ามาภายในอุปกรณ์
5 : ป้องกันฝุ่งละอองได้เล็กน้อย
6 : ป้องกันฝุ่งละอองได้
ตัวเลขหลักที่สอง หมายถึงการป้องกันของเหลว โดยแบ่งเป็น 9 ระดับเริ่มตั้งแต่ 0 – 8
0 : ไม่สามารถป้องกันของเหลวอะไรได้เลย
1 : ป้องกันน้ำที่ตกจากแนวดิ่ง (ป้องกันเฉพาะน้ำที่ตกมาโดนจากแนวตั้ง 90 องศา)
2 : ป้องกันน้ำจากแนวตั้งทำมุมเอียง 15 องศา
3 : ป้องกันน้ำจากแนวตั้งทำมุมเอียง 60 องศา
4 : ป้องกันน้ำได้ทุกทิศทาง
5 : ป้องกันโทรศัพท์จากการถูกฉีดด้วยน้ำแรงดันต่ำทุกทิศทาง
6 : ป้องกันการถูกฉีดด้วยน้ำแรงดันต่ำ และสามารถเปียกน้ำได้เพียงชั่วครู่
7 : ป้องกันการแช่น้ำที่ความลึก 15 -100 เซนติเมตร หรือป้องกันน้ำได้ 1 เมตร
8 : ป้องกันการแช่อยู่ในน้ำ และสามารถใช้งานในน้ำได้
สำหรับใครที่อ่านจบแล้ว “อย่าลืม กดไลค์ กดแชร์” เพื่อเป็นกำลังใจให้ แอดมินด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
จิงๆแล้ว วัตต์(Watt) คือ หน่วยวัดกำลังไฟฟ้าเป็นตัวบอกกำลังไฟที่ต้องใช้ของอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดนั้น เช่น หลอดไฟ 30 วัตต์ แสดงว่ากินไฟ 30 วัตต์
ลูเมน(Lumen) คือ หน่วยวัดความสว่างของหลอดไฟ เช่น หลอดไฟ 10 วัตต์ ให้ความสว่าง 120 ลูเมน แสดงว่า หลอดไฟดวงนี้ให้ความสว่าง 120 ลูเมน
แต่หลอดส่วนใหญ่ที่ได้มาตรฐานนั้น ลูเมนจะเยอะขึ้นตามวัตต์อยู่แล้วครับ
ดังนั้นใครที่ได้อ่านโพสนี้แล้ว เวลาเลือกซื้อหลอดไฟนั้นจะต้องดูที่ “ค่าลูเมน” เพราะลูเมนยิ่งสู.ยิ่งสว่าง
เราเคยสงสัยกันมั้ยเวลา ทำไมเวลาที่เราถ่ายรูปอะไรก็ตามในสถานที่เดียวกัน แบบเดียวกัน แต่ว่ารูปที่ออกมานั้นมีสีที่แต่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
วันนี้เรามีคำตอบมาให้ครับ…. นั่นก็เป็นเพราะว่าหลอดไฟที่ท่านใช้อาจจะให้แต่ความสว่าง แต่ไม่ได้ให้ค่าความถูกต้องของสีที่ดีนั่นเอง
ค่า Color Rendering Index (CRI) คือหน่วยวัดคุณภาพของแสงที่เราส่อง และทำให้เราเห็นสีของวัตถุถูกต้องเพียงใด โดยค่า CRI นั้น จะมีค่าอยู่ที่ 0-100 โดยค่า CRI ที่ดีนั้นควรจะมากกว่า 80 โดยเราสามารถดูได้จาก ฉลากที่อยู่ข้างๆกล่องของหลอดไฟที่เราจะซื้อได้เลย
ดังนั้นอย่าลืมแทคเพื่อนหรือคนรู้จักที่กำลังจะเปิด ร้านอาหาร ร้าน คาเฟ่ ไว้ให้คนถ่ายรูป มาอ่านโพสนี้กกันนะครับ
แสง 4000K หรือที่เรียกกันว่า ” Coolwhite” โดยโทรแสงของสีนี้จะออกเป็นสีนวลๆ อยู่กึ่งกลางระหว่าง สีขาวกับสีเหลือง เป็นแสงที่ดูแล้วค่อนข้างนุ่มนวล โดยแสงสีนี้จะช่วยให้มองเห็นสิ่งของได้ชัดเจนมากกว่าสีวอร์มไวท์ ซึ่งเป็นแสงที่เหมาะมากสำหรับห้องทำงาน
แสง 6000k หรือที่เรียกกันว่า “Daylight” โดยโทนแสงสีนั้นจะออกเป็นสีขาว แสงของสีนั้นจะเหมือนกับว่าเป็นแสงของธรรมชาติในเวลากลางวัน ซึ่งจะออกเป็น สีขาวอมฟ้า เพราะว่าแสงนี้นั้นเป็นแสงขาว เวลาที่เรามองนั้นจะให้ความรู้สึกว่าห้องที่ใช้แสงสีนี้ดู สะอาด และยังเป็นแสงที่สำหรับใช้อ่านหนังสือ
สุดท้ายแล้วการที่เราจะเลือกแสงของหลอดไฟนั้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และความชอบของผู้เลือกใช้ 😊
